หุ้น SET หากต่ำกว่า 1,370 จุด สร้าง downside มีโอกาสทำจุดต่ำใหม่อีกครั้ง

หุ้น SET หากต่ำกว่า 1,370 จุด สร้าง downside มีโอกาสทำจุดต่ำใหม่อีกครั้ง

SET หากต่ำกว่า 1,370 จุด ทำให้เกิดสัญญาณเปิดลงติดลบ ดัชนียังมีลุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่อีกครั้ง แนวรองรับถัดไปอยู่ที่ 1,360 จุด กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy แนะนำ OR และ KCE

สร้างสรรค์สิ่งใหม่ หากต่ำกว่านี้จะสร้างสัญญาณลบเพื่อเปิดทางลงและดัชนีจะมีโอกาสกลับไปสู่จุดต่ำสุดใหม่อีกครั้ง แนวรองรับถัดไปอยู่ที่ 1,360 จุด กรอบบนยังจำกัดแนวต้านที่ 1,380 และ 1,390 จุด ตามลำดับ

ในระยะสั้นตลาดหุ้นโลกอาจมีความผันผวนเพิ่มขึ้น ของนโยบายการเงินที่ไม่เข้มงวดกว่าเดิม (อัตราดอกเบี้ยเกินจุดสูงสุด โดยในการประชุมนโยบายการเงินของ FED, BoE และ ECB ในสัปดาห์นี้ ตลาดคาดว่าจะมีการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยซึ่ง จะช่วยชดเชยการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

จึงเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะอยู่ในบรรยากาศที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว และมีโอกาสที่จะได้รับเงินลงทุนในกองทุน TESG ซึ่งจะทยอยปรากฏในเดือนธันวาคมปีหน้า ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ “เลือกซื้อ” ดังนี้

1) หุ้นขนาดใหญ่ (SET50) ที่ควรเป็นเป้าหมายการลงทุนของแผนการสร้างกองทุน TESG โดยเราได้คัดเลือกหุ้นจากดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (l) มี ESG rating “AAA” หรือ “AA” และ (ll) ราคาหุ้นปรับตัวแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP หรือ CPALL BEM GULF CRC HMPRO ขณะที่หลักทรัพย์ ESG Rating “A” ที่ราคาหุ้นในอดีตตกลงมาแรงมาก แนะนำ AOT

2) Big Cap (SET50) ซึ่งควรมีวัตถุประสงค์การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างกองทุน TESG โดยคัดเลือกหุ้นจากดัชนี SETESG ที่มีอันดับ ESG ที่ “AAA” และราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นกว่า SET ผลการดำเนินงานปีต่อปียังแข็งแกร่งและคาดว่าผลตอบแทนของแผนกจะมากกว่า 5% ต่อปี เลือก ปตท.กรุงไทย

3) ผู้ลงทุนระยะยาวแนะนำให้เริ่มลงทุนโดยใช้วิธี Dolor Cost Average (DCA) เนื่องจากถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดหลังจากการปรับลดลงของ SET จนกว่าความเสี่ยงจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญและราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่ามาก โดยตอนนั้น โดยเลือกหุ้น BBL BDMS BEM CPALL ปตท. และ SCC ใน SET100 เป็นผู้นำทุกกลุ่มและมี Rating ระดับ AAA/AA ESG ประเมินต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา และผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง

ในระยะสั้นแนะนำให้ระมัดระวังหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากแผนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ 25 ธันวาคม ประกอบด้วย Parcel Transportation Group (KEX), Food Group (CPF ZEN GFPT TU), Real Estate Group (LPN PSH) และ Electronics Group (HANA)

นอกจากนี้ ในระยะกลางแนะนำให้ระมัดระวังมูลค่าที่ควรได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มรถยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาหวาน) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ OR เป็นหุ้นที่น่าสนใจในดัชนี SETESG โดยมีค่าเรตติ้ง “AA” เนื่องจากราคาหุ้นลดลง 16% เมื่อเทียบเป็นรายปี แสดงว่าตลาดหมกมุ่นอยู่กับมาตรการควบคุมราคาน้ำมันในประเทศมากเกินไป คาดกำไรปกติในไตรมาสปี 2566 โดยจะได้รับแรงหนุนจากช่วงพีคท่องเที่ยว คาดกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 13.6 พันล้านบาท (+31% y-o-y)

KCE ประเมินผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2566 จากสต๊อกสินค้าของลูกค้ายังค่อนข้างน้อยทำให้มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง (คาดรายได้เติบโตต่อเนื่อง 3 เท่า 4% รายไตรมาสต่อไตรมาสแม้ว่าฤดูกาลจะต่ำ) ในขณะที่ต้นทุนทองแดงยังคงต่ำ นอกจากนี้คาดว่าค่าไฟฟ้าจะลดลง

ขอขอบคุณบทความจาก : หุ้น SET